แบบการเรียนรู้ (Learning Styles)
คําว่า
Learning
Styles ในคําภาษาไทยใช้คําว่า ลีลาการเรียนรู้ หรือแบบการเรียนรู้
หรือวิธีการเรียน ที่เป็นการปฏิบัติของผู้เรียนในการจัดการเกี่ยวกับการเรียน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ซึ่งแตกต่างกันไปตามสติปัญญา
ลักษณะเฉพาะของผู้เรียน และสภาพแวดล้อมทางการเรียน
แบบการเรียนรู้
(Learning
Style) เป็นความคงที่ในการตอบสนองและการใช้สิ่งเร้าในบริบทของการเรียนรู้
อาจกล่าวได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้ได้ดีที่สุดด้วยกลวิธีหรือวิธีการที่สนองกับความต้องการของผู้เรียน
โดยผู้เรียนแต่ละคนมีแบบการเรียนรู้ของตนเอง ไรซ์แมนและกราส์ซา และเดวิด เอ คอล์ม
ได้นําเสนอแบบการเรียนรู้ สรุปได้ดังนี้
Anthony
F. Grasha and Sheryl Reichman (1980 cited in Nova Southeastern University, 2004
: 31) จัดผู้เรียนตามแบบการเรียนรู้ได้ 6 แบบ
คือ
1. แบบอิสระ (Independent
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้เฉพาะตนเอง แสวงหาความรู้และประสบการณ์ด้วยตนเอง
จะเรียนรู้เนื้อหาวิชาเฉพาะที่ตนเห็นว่ามีความสําคัญ เชื่อมั่นในความสามารถ การเรียนรู้ของตนเอง
แต่ก็รับฟังความเห็นของผู้อื่น
2. แบบหลีกเลี่ยง (Avoidance
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้เรียนไม่สนใจเนื้อหาวิชาที่จัดให้ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
3. แบบร่วมมือ (Collaboration
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ชอบที่จะทํางานร่วมกันกับผู้อื่น
เรียนรู้ได้ดีด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ถือห้องเรียนเป็นแหล่งปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเรียนรู้
เนื้อหาวิชาตลอดจนกิจกรรมนอกหลักสูตร
4. แบบพึ่งพา (Dependent
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการคําบอกเล่าว่าต้องทําอะไร
อย่างไรและเมื่อไร ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการรับคําสั่ง หรืองานที่มอบหมาย
อาจารย์และเพื่อนจะเป็นแหล่งความรู้
มีความต้องการเรียนรู้เฉพาะจากสิ่งที่กําหนดให้เรียนเท่านั้น
5. แบบแข่งขัน (Competitive
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่จะพยายามทําให้ดีกว่าคนอื่น ผู้เรียนค้นหาความรู้
โดยใช้หลักในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนพยายามที่จะทําสิ่งต่างๆ ให้ได้ดีกว่าคนอื่น
ใช้หลักในการเรียนรู้ เรียนเพื่อให้มีผลการเรียนดีกว่าเพื่อนในชั้นเรียน ต้องการรางวัลในชั้นเรียน
เช่น คําชมหรือสิ่งของหรือคะแนน มีลักษณะการแข่งขันแบบแพ้ชนะ
6. แบบมีส่วนร่วม (Participant
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมมากที่สุดในกิจกรรมในชั้นเรียน
ผู้เรียนต้องการเรียนรู้เนื้อหาวิชาในห้องเรียนและชอบที่จะเข้าชั้นเรียน แต่ ไม่ต้องการที่จะร่วมกิจกรรมที่ไม่อยู่ในรายวิชาที่เรียน
David
A. Kols (1995 ยางในคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้
กระทรวงศึกษาธิการ, 2543 : 19-20) จัดกลุ่มผู้เรียนตามแบบการเรียนเป็น
4 กลุ่ม ดังนี้
1. แบบนักปฏิบัติ (active
experimentation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดี
เมื่อได้ลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้เกิดจากการกระทําควบคู่ไปกับการคิด
2. แบบนักสังเกต (reflective
observation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้จากการสังเกตปรากฏการณ์
ต่าง ๆ แล้วนํามาจัดระบบระเบียบเป็นความรู้
3. แบบนักคิดสร้างมโนทัศน์ (abstract
conceptualization) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยวิเคราะห์และสังเคราะห์
การรับรู้ที่ได้เป็นองค์ความรู้
4. แบบนักประมวลประสบการณ์ (concrete
experience) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยการวิเคราะห์
และประเมินด้วยหลักเหตุผล
McCarthy
(อ้างในศักดิ์ชัย นิรัญทวีและไพเราะ พุ่มมั่น, 2542 : 7-11) ได้ขยายแนวคิดของกอล์บ โดยเสนอแบบการเรียนรู้ 4 แบบ
ดังนี้
แบบที่ 1
เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส
และประมวลกระบวนการเรียนรู้จากการสังเกต นําไปสะท้อนความคิดเชิงเหตุผล
ผู้เรียนกลุ่มนี้มักถามถึงเหตุผลว่า ทําไม (why) ผู้เรียนมักถามว่า
ทําไมต้องเรียนสิ่งนั้นสิ่งนี้ จะต้องหาเหตุผลที่จะต้องเรียนรู้ก่อน สิ่งอื่น ๆ
แล้วจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาหรือสิ่งที่เขาสนใจอย่างไร โดยเฉพาะเรื่อง ความเชื่อ
ค่านิยม ความรู้สึก ชอบขบคิดปัญหาต่างๆ ค้นหาเหตุผลและสร้างความหมายเฉพาะของตนเอง
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อ อภิปราย โต้วาที ใช้กิจกรรมกลุ่ม
การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ครูต้องให้เหตุผลก่อนเรียน หรือระหว่างเรียน
แบบที่ 2
เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (analytic learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านการประมวลข้อมูล
โดยนําสิ่งที่รับรู้มาประมวลกับประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ใหม่ ๆ
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง คําถามที่สําคัญคือ อะไร (what)
ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เหมาะสม
เพื่อนําไปพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด (concept) หรีอจัดระบบระเบียบของความคิด
ผู้เรียนกลุ่มนี้มุ่งเน้น รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
จะยอมรับผู้รู้จริงหรือผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีอํานาจสั่งการเท่านั้น ผู้เรียน
กลุ่มนี้จะเรียนก็ต่อเมื่อรู้ว่า จะต้องเรียนอะไร อะไรที่เรียนได้ สามารถเรียนได้ดีจากการบรรยาย
การทดลอง การทํารายงาน การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย
แบบที่ 3
เป็นผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญสํานึก (common sense learners) ผู้เรียนจะรับรู้โดยผ่านกระบวนการคิดจากสิ่งที่เป็นนามธรรม
กระบวนการเรียนรู้ได้จากการทดลองหรือปฏิบัติจริง มีการมองหากลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนความรู้เพื่อนําไปใช้
คําถามที่สําคัญ คือ อย่างไร (how) ผู้เรียนกลุ่มนี้สนใจทดสอบ
ทฤษฎีหรือปฏิบัติจริง โดยวางแผนนําความรู้ในภาคทฤษฎีที่เป็นนามธรรมไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในชีวิตจริง
ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการเป็นผู้ปฏิบัติ
ใฝ่หาสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นประโยชน์และตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้มานั้นสามารถใช้ได้ในชีวิตจริงหรือไม่
สนใจที่จะนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง อยากรู้ว่าจะทำได้อย่างไร
รูปแบบการเรียนการสอนที่ควรเป็นก็คือ การทดลอง การให้ปฏิบัติจริง ทำจริงหรือสถานการณ์จําลองก็ได้
แบบที่ 4
เป็นผู้เรียนที่ถนัดการปรับเปลี่ยน (dynamic learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านสิ่งที่เป็นรูปธรรมและผ่านการกระทํา
คําถามที่สําคัญคือ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ (If) ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยลงมือทำในสิ่งที่ตนเองสนใจ
และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ชอบรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนํา แล้วนำข้อมูลมาประมวลเป็นความรู้ใหม่
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะมองเห็นความซับซ้อนของสิ่งที่เรียนรู้ สามารถสร้างผังความคิด
แสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้วนําเสนอเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่
การสอนผู้เรียนกลุ่มนี้ใช้วิธีการสอน แบบค้นพบด้วยตนเอง (self discovery
method)
แบบการเรียนรู้
(learning
styles) เป็นเพียงการจัดกลุ่มที่มีลักษณะโดยรวมเท่านั้น ไม่อาจจำแนกได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งจะจัดอยู่ในกลุ่มของแบบการเรียนแบบใดแบบหนึ่ง
ดังที่การ์ดเนอร์ (howard gardner) ที่ได้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา
(multiple intelligence theory) 8 ด้าน คือ ด้านภาษา
ด้านตรรกะและ คณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านการรู้จักตนเอง
ด้านความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล และด้านความเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ผู้สอนสามารถใช้แบบการเรียนรู้ที่มาจากสติปัญญา
หนึ่งด้านหรือสองด้านเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนมีประสิทธิผลสูงสุด โดยปกติผู้สอน
ทดสอบ และการ ได้รับข้อมูลป้อนกลับประกอบด้วยสติปัญญาสองด้าน คือ ภาษา (verbal/lingulitis)
และเหตุผล (logical/ mathematical) การนําแนวคิดพหุปัญญามาใช้ควรจะเป็นการใช้คุณลักษณะเด่นของสติปัญญา
เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
ประการสําคัญผู้สอนต้องคํานึงอยู่เสมอว่าในชั้นเรียนหนึ่ง ๆ มี
ผู้เรียนทุกแบบการเรียนรู้ ดังนั้นผู้สอน จําเป็นต้องใช้แบบการสอน (teaching
style) ที่หลากหลายเพื่อ
ตอบสนองแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ครอบคลุม ผู้เรียนมีโอกาสได้พัฒนาความสามารถของตนเองเต็มตามศักยภาพ
พหุปัญญา (Multiple
Intelligences)
Howard
Gardner (2011) Gardner, Howard. Frames of Mind: The Theory of Multiple
Intelligences. New York: Basic Books,2011, ได้พัฒนาทฤษฎีพหุปัญญาโดยทฤษฎีโต้แย้งความคิดเกี่ยวกับความเก่งและปัญญาของมนุษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่เคยระบุความหมายไว้แต่เดิมซึ่งเรียก “ไอคิว” (IQ) นั้นไม่เพียงพอที่จะนําไปสู่การแสดงความสามารถของมนุษย์ที่มีมากมายหลากหลาย
ที่แนวคิดเดิมเน้นปัญญาของมนุษย์เพียงสองด้าน คือ ด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์
การ์ดเนอร์ ได้เสนอแนวคิดว่าปัญญาที่หลากหลาย หรือพหุปัญญาจะพบในทุกวิถีชีวิต
การเรียนรู้ที่ดีที่สุดอาจเกิดจากตัวป้อนที่ให้ผ่านวิธีการที่ต่างกัน
ผู้เรียนอาจทำได้ดีในเรื่องที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์
หรืออาจจะมีกระบวนการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งกว่า ที่เหนือชั้นกว่า คนที่
แค่จําหลักคิดได้เท่านั้น การ์ดเนอร์เสนอว่าปัญญามีอยู่ 8
ด้าน ดังต่อไปนี้
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic
intelligence) เป็นเกมความสามารถในการใช้ภัยยศ (“word
smart”)
2 ปัญญาด้านตรรกะ - คณิตศาสตร์ (Logical-mathematical intelligence)
เป็นปัญญา ความสามารถทางด้านจํานวนตัวเลขและเหตุผล (“number/reasoning
smart")
3. ปัญญาด้านมิติ (Sivatial
intelligence) เป็นปัญญาความสามารถด้านการคิดเป็นรูปภาพ
สามารถมองเห็นโลกในรูปของภาพ และสามารถจําลองสร้างภาพนั้น ๆ ได้ ("picture smart")
4. ปัญญาทางด้านดนตรี Musical
Intelligence เป็นปัญญาที่มีความสามารถสูงทางด้านดนตรี คือ
ความสามารและชื่นชมในเสียง ทํานองจังหวะ และสามารถผลิตสียง ทํานอง จังหวะได้ดี(“music
smart”)
5. ปัญญาด้านร่างกาย-การเคลื่อนไหว(Bodily-kitseithetic
intelligence) เป็นปัญญา ความสามารถพิเศษในการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย
และในการใช้มือเพื่อจัดกระทํากับสิ่งของ (“body smart”)
6 ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal
Intelligence) เป็นปัญญาความสามารถพิเศษ ในการทํางานร่วมกับผู้อื่น
มีความเข้าใจผู้อื่นสามารถที่จะสังเกตรับรู้อารมณ์ ความคิดความปราถนาของผู้อื่น (“people
smart”)
7.ปัญญาด้านปฏิสัมพันธ์ต่อตนเอง
(Intrapersonal intelligence) เป็นปัญญาความสามารถ
เข้าใจอารมณ์ของตนเองได้ที่ (“self smart”)
8. ปัญญาด้านการเข้าใจเรื่องธรรมชาติ (Naturalist
intelligence) เป็นปัญญาความสามารถสังเกต เชื่อมโยงข้อมูลกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ
(“nature smart”)
สาระสําคัญเกี่ยวกับทฤษฎีพหุปัญญา
คือ ทุกคนมีปัญญาทั้ง 8 ด้านนี้ ในคน
และปัญญาแต่ละด้าน สามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับใช้การได้ การ์ดเนอร์กล่าวสรุปไว้ว่า
ปัญญาทั้ง 8 ด้านจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน กิจกรรมต่าง ๆ
ในชีวิตจะไม่มีกิจกรรมใดที่ใช้เฉพาะปัญญาด้านใดด้านเดียว คําแนะนําที่ดีก็คือ
ไม่ทุ่มเทไปที่ ปัญญาด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว แต่ควรจะสัมพันธ์ปัญญาหลายๆ
ด้านในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น