“พระราชบัญญัติ”
พระราชบัญญัติ คือ
กฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยประเทศ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้อนุญาต
โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา และเนื้อหาของพระราชบัญญัตินั้นจะกำหนดเนื้อหาในเรื่องใดก็ได้
แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือจะกล่าวให้ง่ายขึ้นได้ว่า พระราชบัญญัติ
หมายถึง กฏหมายที่ออกโดยรัฐสภา (สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา)
และได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศใช้ได้โดยพระมหากษัตริย์
พระราชบัญญัติในประเทศไทยแบ่งออกเป็น ๓
ประเภทคือ
– พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
– พระราชบัญญัติ (ทั่วไป)
– พระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
“การศึกษาภาคบังคับ”
การศึกษาภาคบังคับ (อังกฤษ: Compulsory
education) เป็นกฎหมายกำหนดให้เยาวชนได้รับการศึกษา
และภาครัฐจะต้องจัดหาให้ ในประเทศบางประเทศ การศึกษาที่บ้าน
อาจเป็นไปอย่างถูกกฎหมาย
การศึกษาภาคบังคับที่โรงเรียนประถมศึกษา
ได้ทำความตกลงให้เป็นสิทธิมนุษยชนแห่ง การประกาศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนสากล พ.ศ.
๒๔๙๑ ซึ่งประเทศต่าง ๆ ในโลกส่วนใหญ่บัญญัติกฎหมายเพื่อให้ได้มีการศึกษาภาคบังคับ
อย่างน้อยในระดับประถมศึกษา
และมีความพยายามมากยิ่งขึ้นที่จะให้ขยายออกไปถึงในระดับ มัธยมศึกษา
ประโยชน์ของการศึกษาภาคบังคับ
การศึกษาภาคบังคับมีประโยชน์ดังนี้
๑. ก่อนที่จะมีการศึกษาภาคบังคับ เด็ก ๆ
มักได้เรียนรู้ทักษะอาชีพของผู้ปกครอง การศึกษาภาคบังคับแนะนำงานอาชีพอื่นๆ
ที่เด็ก ๆ สามารถเรียนได้ ตัวอย่างเช่น ชั้นเรียนคณิตศาสตร์ นำพาเด็ก ๆ
ไปสู่อาชีพที่ต้องใช้คณิตศาสตร์ ชีววิทยาสามารถนำพาเด็ก ๆ
ไปสู่อาชีพทางด้านการแพทย์ได้ เป็นต้น
๒. ขัดขวางการใช้แรงงานเด็ก
๓. ลดจำนวนกลุ่มเด็กอันธพาลตามท้องถนน
โดยที่แย่งเวลาส่วนใหญ่ของเวลาว่างของเด็ก นี่คือการช่วยลดปัญหาสังคมด้วย
เป็นข้อกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา
ที่มีพระมาหากษัตริย์เป็นผู้อนุญาต
ตั้งกำหนดไว้เพื่อให้การศึกษาของไทยเป็นไปตามร่างพระราชบัญที่กำหนดไว้
พระราชบัญญัติ
การศึกษาภาคบังคับ
พ.ศ.
๒๕๔๕
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ใหไว้ ณ
วันที,
๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
เป็นปีที่, ๕๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรด เกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประถมศึกษา
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ ยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
“พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.๒๕๔๕
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันกัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติประถมศึกษา ๒๕๒๓
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“การศึกษาภาคบังคับ” หมายความว่า
การศึกษาชั้นปีที่หนึ่งถึงชั้นปีที่เก้าของ
การศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
“สถานศึกษา” หมายความว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษาภาคบังคับ
“ผู้ปกครอง” หมายความว่า บิดามารดา หรือบิดา หรือมารดา ซึ่งเป็นผู้ใช้ อำนาจปกครอง
หรือผู้ปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และหมายความรวมถึง บุคคลที่เด็กอยู่ด้วยเป็นประจำหรือที่เด็กอยู่รับใช้การงาน
ราชกิจจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ /ตอนที่
๑๒๘ ก/หน้า ๑๑/๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๕
“เด็ก” หมายความว่า
เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดจนถึงอายุย่างเข้าปีที่สิบหก
เว้นแต่เด็กที่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับแล้ว
“คณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน”
หมายความว่า คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
“คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา”
หมายความว่า คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น”
หมายความว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มี สถานศึกษาอยู่ในสังกัด
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม พระราชบัญญัตินี้
“รัฐมนตรี” หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
แล้วแต่กรณีประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา
และการจัดสรรโอกาสเข้าศึกษาต่อระหว่างสถานศึกษาที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับโดยให้ปิดประกาศไว้
ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา
รวมทั้งต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ปกครองของเด็กทราบก่อนเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
มาตรา ๖
ให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา
เมื่อผู้ปกครองร้องขอ ให้สถานศึกษามีอำนาจผ่อนผันให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับได้
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
มาตรา ๗
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ ในเวลาระหว่าง พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกหรือในเวลาทำการของสถานที่นั้น
เพื่อตรวจสอบการเข้าเรียน ของเด็ก
หากพบว่ามีเด็กไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาตามมาตรา ๕ ให้ดำเนินการให้เด็กนั้น ได้
เข้าเรียนในสถานศึกษานั้นแล้วรายงานให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
หรือองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ทราบ
ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการให้เด็กได้เข้าเรียนตามวรรคหนึ่งได้ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่รายงานให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ที่พบเด็ก แล้วแต่กรณี
เพื่อดำเนินการให้เด็กได้เข้าเรียนในสถานศึกษา
มาตรา ๘ ในการปฏิบัติหน้าที่
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวแก่ บุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๙
ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๑๐
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็น
เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๑ ผู้ใดซึ่งมิใช่ผู้ปกครอง
มีเด็กซึ่งไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วยต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
หรือองค์กรปกครองส่วนห้องถิ่นแล้วแต่กรณีภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่เด็กมาอาศัยอยู่
เว้นแต่ผู้ปกครองได้อาศัยอยู่ด้วยกับผู้นั้นการแจ้งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และสถานศึกษาจัดการศึกษาเป็นพิเศษสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทาง ร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างการพิการ หรือ
ทุพพลภาพหรือเด็กซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส
หรือเด็กที่มี
ความสามารถพิเศษให้โต้รับการศึกษาภาคบังคับด้วยรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม
รวมทั้งการได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก หรือ บริการ
และความช่วยเหลืออื่นใดตามความจำเป็น เพื่อประกัน
โอกาสและความเสมอภาคในการได้รับการศึกษาภาคบังคับ
มาตรา ๑๓
ผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๑๔ ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา
๙ ต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๑๕ ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร
กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็น เหตุให้เด็กมิได้เรียนในสถานศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา ๑๖ ผู้โดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๑ หรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จ ต้องระวาง โทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา ๑๗
ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มาตรา ๑๘
ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา ให้
คณะกรรมการการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร คณะกรรมการการประถมศึกษาอำเภอ หรือ
คณะกรรมการการประถมศึกษากิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี
ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
และให้สำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ
หรือสำนักงานการประถมศึกษากิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี ทำหน้าที่แทนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มาตรา ๑๙ ให้บรรดากฎกระทรวง ประกาศ
ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งที่ออก ตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๓
ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา
ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๒๐
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตาม พระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ กับมีอำนาจออกประกาศเพื่อ
ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
ประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
ให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น